รีวิว Galaxy Note 20 สเปกเป็นรอง Note 20 Ultra แต่ก็ดีพอสำหรับคนไม่อยากจ่ายแพง
Galaxy Note รุ่นใหม่ที่ซัมซุงเปิดตัวในปีนี้ ได้แก่ Galaxy Note 20 และ Galaxy Note 20 Ultra ผมเชื่อว่าเป็นที่สนใจของใครหลายๆ คน โดยเฉพาะคนที่ชื่นชอบตระกูล Note มาแต่ไหนแต่ไร แต่ปัจจัยด้านราคาทำให้ Note 20 Ultra ถูกมองว่าแพงพอสมควร แม้จะได้สเปกระดับท็อปก็ตาม ยิ่งสภาพเศรษฐกิจในยุคโควิดเช่นนี้ด้วยแล้ว การจะจ่ายเงินเพื่อโทรศัพท์มือถือในราคาระดับ 3-4 หมื่นกว่าบาทก็คงจะไม่เรื่องง่ายนัก
อย่างไรก็ตาม Note 20 ที่ผมได้จับมาเรียบร้อย ก็อยากจะแชร์ความคิดเห็นและความรู้สึกส่วนตัวกับผู้อ่านทุกท่านครับว่า ถึงรุ่นนี้ราคาจะถูกกว่า ดีไซน์และสเปกเป็นรองกว่า Note 20 Ultra แต่เมื่อพิจารณาจากคุณสมบัติที่มีก็ต้องบอกว่า Note 20 ก็ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันได้ดีไม่เบาครับ
สเปกที่แตกต่างระหว่าง Note 20 และ Note 20 Ultra
ว่าด้วยเรื่องสเปก Note 20 ตัวเครื่องที่ผมได้จับเป็นรุ่น 5G ครับ น้ำหนักอยู่ที่ 194 กรัม (หากเป็นรุ่น 4G น้ำหนักจะอยู่ที่ 192 กรัม : อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ซัมซุง) หน้าจอ Super AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ 2400 x 1080 พิกเซล เป็นจอแบน พร้อมรีเฟรชเรท 60Hz
กล้องหลัง 3 ตัว ได้แก่ กล้องหลัก 12 ล้านพิกเซล, Ultra wide 12 ล้านพิกเซล, Telephoto 64 ล้านพิกเซล ซูม 3 เท่าไม่เสียความละเอียด (Hybrid Optic Zoom) ซูมไกลสุด 30 เท่า, ระบบโฟกัสภาพ Dual Pixel, กล้องหน้า 10 ล้านพิกเซล
ชิปประมวลผล Exynos 990, แรม 8GB, รอม 256GB (มีความจุเดียว), ใส่ microSD card ไม่ได้, แบตเตอรี่ความจุ 4300 mAh, รองรับ 2 ซิม, ตัวเครื่องมี 3 สี ได้แก่ Mystic Bronze, Mystic Green, Mystic Gray, ราคา 29,900 บาท (รุ่น 4G) และ 33,900 บาท (รุ่น 5G)
ขณะที่ Note 20 Ultra น้ำหนัก 208 กรัม หน้าจอ Dynamic AMOLED ขนาด 6.9 นิ้ว ความละเอียด WQHD+ 3088 x 1440 พิกเซล เป็นจอโค้ง และรีเฟรชเรท 120Hz
กล้องหลัง 3 ตัว ได้แก่ กล้องหลัก 108 ล้านพิกเซล, Ultra wide 12 ล้านพิกเซล, Telephoto 13 ล้านพิกเซล, ซูม 5 เท่าไม่เสียความละเอียด (Optical Zoom) ซูมไกลสุด 50 เท่า, ระบบโฟกัสภาพใช้เซ็นเซอร์ Laser AF, กล้องหน้า 10 ล้านพิกเซล
ชิปประมวลผล Exynos 990, แรม 8GB / 12GB, รอม 256GB / 512GB, ใส่ microSD card ได้, แบตเตอรี่ความจุ 4500 mAh, รองรับ 2 ซิม, ตัวเครื่องมี 2 สี ได้แก่ Mystic Bronze กับ Mystic Black, ราคารุ่น 4G : 256GB / 38,900 บาท, 512GB / 42,900 บาท | ราคารุ่น 5G : 256GB / 42,900 บาท, 512GB / 46,900 บาท
อ่านมาถึงบรรทัดนี้ทุกท่านคงจะเห็นความแตกต่างของสเปกทั้งสองรุ่นกันแล้ว ซึ่งจากที่ผมเคยพรีวิว Note 20 Ultra ก่อนหน้านี้ แล้วได้มาจับ Note 20 ในความเห็นส่วนตัวมองว่าสเปกที่เป็นรองก็ไม่ได้แปลว่าประสิทธิภาพจะด้อยกว่า เพราะเอาเข้าจริงแล้วสเปกที่ได้มาก็เพียงพอกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน
ตัวเครื่องและหน้าจอ
ตัวเครื่อง Note 20 เบากว่า Note 20 Ultra หยิบจับได้สบายมือกว่า และการที่เป็นจอแบนทำให้การใช้นิ้วโป้งเลื่อนไปเลื่อนมาขณะถือด้วยมือเดียว รวมถึงการขีดเขียนด้วยปากกา S Pen ทำได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องพะวงว่าส่วนใดส่วนหนึ่งของมือเราจะไปสัมผัสกับจอโค้งทำให้เปิดแอพอื่นๆ ขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ
หน้าจอที่ใส่รีเฟรชเรท 60Hz อาจทำให้ผู้อ่านบางท่านไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ เพราะโทรศัพท์มือถือ Android หลายรุ่นในปัจจุบันใส่รีเฟรชเรทมาที่ 90Hz เป็นอย่างต่ำ แถมราคายังถูกกว่าด้วย อย่างไรก็ดีหากมองในแง่ดีรีเฟรชเรท 60Hz ก็เป็นตัวช่วยประหยัดแบตเตอรี่ได้อีกทางครับ
ฝาหลังของ Note 20 ทำจากวัสดุประเภทพลาสติก แตกต่างจาก Note 20 Ultra ที่เป็นอะลูมิเนียม ซึ่งซัมซุงก็ต้องยอมรับกับเสียงวิจารณ์ครับว่า โทรศัพท์มือถือในราคาเริ่มต้นเกือบสามหมื่นควรใช้วัสดุที่พรีเมียมมากกว่าเป็นพลาสติก แต่ไม่ว่าฝาหลังจะเป็นอะลูมิเนียมหรือพลาสติกผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ก็เลือกใส่เคสเพื่อห่อหุ้มตัวเครื่อง อาจจะเพื่อป้องกันฝาหลังเกิดรอยขีดข่วนหรืออาจจะใส่เพื่อให้จับถนัดมือมากขึ้น ก็สุดแท้แต่เหตุผลของแต่ละท่านครับ
กล้องถ่ายภาพ
ถัดมาเป็นเรื่องของกล้องถ่ายภาพ ถึงจะสู้ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล ใน Note 20 Ultra ไม่ได้ รวมถึงระบบจับภาพที่ใช้เซ็นเซอร์ Lasaer AF แต่ใน Note 20 ก็ยังคงไว้ซึ่งเทคโนโลยี Dual Pixel ที่ซัมซุงใช้ต่อกันมาในโทรศัพท์มือถือเรือธงหลายต่อหลายรุ่น ช่วยโฟกัสภาพได้เร็วไม่แพ้กัน
การซูม 30 เท่า ในความคิดเห็นส่วนตัวของผมมองว่าเป็นเพียงกิมมิคเล็กๆ ที่เพิ่มเข้ามาเป็นลูกเล่นให้การถ่ายภาพสนุกมากขึ้น ซึ่งจากที่ผมจับ Note 20 มา ก็ใช้ซูม 30 เท่าจริงๆ ก็เพียงแค่ทดสอบเพื่อมารีวิวให้ผู้อ่านรับชมเท่านั้น ที่ใช้มากที่สุดก็เห็นจะเป็นการหยิบเครื่องขึ้นมาเล็งปุ๊บถ่ายปั๊บในมุมปกติและ Ultra wide รวมถึงโหมดกลางคืน แต่ที่ผมกล่าวมาไม่ได้แปลว่าการซูม 30 เท่าจะไม่มีประโยชน์นะครับ เพียงแต่การใช้งานจริงๆ ในชีวิตประจำวันคงไม่ได้ใช้บ่อยนัก
โหมดถ่ายภาพกลางคืน เป็นอีกหนึ่งความดีงามของ Note 20 ครับ ไม่ต้องอาศัยขาตั้งกล้องช่วย แค่มือเปล่าถือนิ่งๆ กดชัตเตอร์หนึ่งครั้งแล้วรอระบบทำการรวมแสงและประมวลผลสักครู่ ภาพที่ออกมาก็สามารถนำไปอวดเพื่อนๆ ในโซเชียลได้ สภาพแสงไม่ฟุ้ง ความคมชัดอยู่ในระดับที่ดี
สำหรับกล้องหน้า 10 ล้านพิกเซล ให้แสงนวลนุ่มอ่อนๆ ไม่ขาวโอเวอร์เกินไปนัก
ปากกา S Pen
มาถึงปากก S Pen กันบ้างครับ อุปกรณ์ที่ต้องบอกว่าเสมือนคู่แท้ที่ยังไงก็ขาดไม่ได้ S Pen ที่มากับ Note 20 ยังเขียนได้ลื่น หากใครที่ใช้ Note 10 / Note 10+ มาก่อนอาจจะไม่รู้สึกความแตกต่างนัก ส่วนอัตราการตอบสนองอยู่ที่ 26 มิลลิวินาที ซึ่ง S Pen ที่มากับ Note 20 Ultra อัตราการตอบสนองอยู่ที่ 9 มิลลิวินาที
ส่วนการขีดเขียนบน Note 20 ขณะตัวเครื่องวางบนโต๊ะ (กรณีไม่ใส่เคส) มั่นใจได้ครับว่าระหว่างที่เขียนตัวเครื่องจะไม่กระดกครับ เนื่องจากแผงกล้องหลังนูนออกมาน้อยกว่า Note 20 Ultra นั่นเอง
ฟีเจอร์อื่นๆ
สำหรับฟีเจอร์อื่นๆ ที่ Note 20 และ Note 20 Ultra มีไม่แตกต่างกัน เช่น รองรับ 5G, Wireless Powershare, สแกนลายนิ้วที่จอ, กันน้ำ กันฝุ่น มาตรฐาน IP68, ชาร์จแบตเตอรี่ กำลังไฟ 25 วัตต์ เป็นต้น
รีวิว Galaxy Note 20 กับบทสรุป
จากทั้งหมดที่ผมนำมาเล่าครั้งนี้ ในความคิดเห็นส่วนตัว Note 20 มีดีพอที่จะเป็นโทรศัพท์มือถือเครื่องหลักได้ครับ หากผู้อ่านมีงบประมาณที่จำกัด รู้สึกชื่นชอบความเป็น Galaxy Note มองที่การใช้งานของตัวเองในชีวิตประจำวันที่ผ่านมาเป็นหลัก และรับได้กับวัสดุที่ไม่ได้เป็นอะลูมิเนียม รวมถึงสเปกที่ห่างจาก Note 20 Ultra ในบางจุด การจะเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่มาเป็น Note 20 ก็ไม่ใช่เรื่องผิดครับ