Nokia และ BlackBerry ตำนานวงการโทรศัพท์มือถือ จากยุครุ่งเรืองสู่วันที่ร่วงโรย
ย้อนกลับไปเกือบ 20 ปีก่อน ตั้งแต่สมัยเด็กๆ ผมจำได้ว่าโทรศัพท์มือถือที่เห็นครั้งแรก คือ โทรศัพท์มือถือทรงกระดูกหมา ที่ต่อมาก็เพิ่งรู้ว่าเป็นแบรนด์ Motorola พอเข้าสู่วัยมัธยมก็เริ่มคุ้นหูคุ้นตากับโทรศัพท์มือถือที่ชื่อว่า Nokia เพราะเห็นเพื่อนๆ พี่ๆ หลายคนถือใช้กันเหมือนของหาง่ายราคาถูก แต่พอเช็คราคาก็ถึงกับสะดุ้ง ! เพราะราคาโทรศัพท์มือถือ Nokia เมื่อหลายสิบปีก่อนระดับ 3 หมื่นขึ้นไป เรียกว่าแพงกว่า iPhone 12 หรือ Samsung Galaxy S21 รุ่นเริ่มต้นด้วยซ้ำ
ความน่าพิศมัยของโทรศัพท์มือถือ Nokia ในยุคนั้น อย่างรุ่น 3310 เป็นที่กล่าวขวัญถึงความอึด ทึก ทน หล่นกี่รอบ ตกกี่หน ก็ยังกลับมาโทรหรือเล่นเกมงูได้ปกติ แถมหน้ากากตัวเครื่องยังมีให้เลือกซื้อเลือกเปลี่ยนกันได้ตามใจด้วย และถัดจาก Nokia 3310 ก็ยังมีรุ่นอื่นๆ ทยอยออกมาวางขาย ซึ่งเรียกว่า Nokia เป็นโทรศัพท์มือถือที่ได้รับความนิยมอย่างมากในไทยและทั่วโลก
จากยุครุ่งเรืองสุดขีด Nokia ก็ต้องเผชิญกับคู่แข่งสำคัญที่ชื่อ BlackBerry หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า “BB” แบรนด์โทรศัพท์มือถือที่พัฒนาสู่การเป็นสมาร์ตโฟน ด้วยจุดเด่นของตัวเครื่องที่มีปุ่มกดคล้ายคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ พร้อมแอปส่งข้อความแบบเรียลไทม์ที่ชื่อ BlackBerry Messenger หรือ BBM ซึ่งใครที่ทันใช้ BB ก็คงจะคุ้นเคยกับประโยคที่ว่า “ขอ PIN หน่อยๆ” อธิบายง่ายๆ สำหรับผู้ที่ไม่เคยใช้ เป็นการแลกเปลี่ยนโค้ดระหว่างผู้ใช้ BB ด้วยกัน เพื่อเพิ่มเพื่อนเข้าสู่ระบบ BBM (ความรู้สึกคล้ายๆ กับการแลก ID สำหรับเพิ่มเพื่อนในแอป LINE ปัจจุบัน) โดยในยุคนั้นก็เรียกว่าได้ว่าสมาร์ตโฟน BlackBerry หรือ BB เป็นที่นิยมมากในหมู่นักเรียก นักศึกษา พนักงานออฟฟิศ ไปจนถึงนักธุรกิจ
เมื่อการแข่งขันในตลาดโทรศัพท์มือถือดุเดือดมากขึ้น Nokia เองก็ไม่นิ่งนอนใจเริ่มพัฒนาโทรศัพท์มือถือหน้าจอสัมผัสที่เรียกว่าก่อนที่ iPhone รุ่นแรกจะเปิดตัวด้วยซ้ำ แต่ด้วยความล่าช้าของการเปลี่ยนผ่านจากระบบ Symbian สู่ระบบที่ใช้สำหรับสมาร์ตโฟนในยุคนั้นทำให้ Nokia ต้องเผชิญกับคลื่นลูกใหม่ที่พลิกโฉมบริษัทไปตลอดกาล นั่นคือ การเปิดตัว “iPhone” รุ่นแรก ในปี 2007 ภายใต้ระบบปฏิบัติการ iOS ไม่เพียงแค่นั้นในปี 2008 Google ก็เปิดตัวระบบปฏิบัติการ Android เปรียบได้กับคลื่นสึนามิที่กวาดเอาทุกอย่างจากยุคเดิมที่มี Nokia และ BlackBerry เป็นเจ้าตลาดให้กลืนหายไปกับสายน้ำ และเริ่มต้นใหม่กับยุคที่มี iOS และ Android
เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปผู้คนหันมาใช้ iPhone และสมาร์ตโฟน Android กันมากขึ้น ทำให้ Nokia ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก และพยายามดิ้นรนด้วยการหันไปใช้ระบบปฏิบัติการ Windows Phone ของ Microsoft ด้วยความหวังที่ว่าจะเป็นหนทางที่พา Nokia กลับมาสู่ยุครุ่งเรืองให้ได้ แต่ความหวังก็ไม่ได้เป็นดั่งที่หวังเพราะการพัฒนาระบบ Windows Phone เป็นไปอย่างล่าช้า และส่งผลกระทบต่อ Nokia อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จนในที่สุดเมื่อหมดหนทาง Nokia จึงตัดสินใจขายธุรกิจโทรศัพท์มือถือให้กับ Microsoft ปิดฉากผู้นำวงการโทรศัพท์ระดับตำนานในที่สุด แม้ปัจจุบันธุรกิจโทรศัพท์มือถือ Nokia จะถูก Microsoft ขายต่อให้บริษัท HMD Global ที่ก่อตั้งจากกลุ่มพนักงานยุคดั้งเดิมของ Nokia และมีการออกสมาร์ตโฟน Nokia ภายในระบบปฏิบัติการ Android มาหลายต่อหลายรุ่น แต่ก็ไม่สามารถสร้างกระแสความนิยมได้
ฝั่งของ BlackBerry นอกจากต้องเผชิญกับ iPhone และสมาร์ตโฟน Android ที่ทำให้ความนิยมของสมาร์ตโฟน BlackBerry ลดต่ำลงแล้ว ตัวแอป BBM ก็ยังต้องเผชิญกับสารพัดแอปแชทที่ถาโถมเข้ามาเป็นคลื่นสึนามิลูกที่สอง ไม่ว่าจะเป็น Facebook Messenger, WhatsApp, LINE ทำให้แอปแชทของ BlackBerry ถูกกลืนหายไปในที่สุด
ด้วยความนิยมที่เสื่อมถอยและการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีที่ไม่อาจสู้กับ iPhone และ Android ได้ ทำให้ BlackBerry ตัดสินใจยุติบทบาทการผลิตสมาร์ตโฟนในปี 2016 และขายไลเซนต์สมาร์ตโฟนให้กับ TCL บริษัทสัญชาติจีน และใช้ชื่อทำตลาดว่า BlackBerry Mobile แต่เมื่อปลายปี 2020 ที่ผ่านมา TCL ประกาศไม่ต่อสัญญาณกับ BlackBerry Mobile ทำให้ TCL ยุติการเป็นผู้ผลิตสมาร์ตโฟน BlackBerry
อย่างไรก็ตามอนาคตของสมาร์ตโฟน BlackBerry ก็ไม่ได้เคว้งคว้างซะทีเดียว เพราะหลังจาก TCL หมดสัญญา BlackBerry ก็ได้ทำสัญญาร่วมกับ OnwardMobility บริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือ และ FIH Mobile Limited บริษัทลูกของ Foxconn เพื่อผลิตสมาร์ตโฟน 5G มีคีย์บอร์ดในแบบฉบับของ Blackberry และจะกลับมาเปิดตัวในปี 2021
จะเห็นได้ว่าทั้ง Nokia และ BlackBerry คือตัวอย่างแห่งโลกธุรกิจที่หากคุณไม่สามารถปรับตัวตามเทคโนโลยีให้ทัน ก็มีสิทธิ์ที่จะถูกแซงโดยคู่แข่งรายอื่นๆ และอาจถึงขั้นถูกกลืนให้ไปจากตลาดก็เป็นได้
ใครที่ยังมีโทรศัพท์มือถือ Nokia และ BlackBerry อยู่ในกล่องเก็บของ เก็บไว้ให้ดีครับ เพราะสิ่งเหล่านั้นคือ Rare item ที่แฝงไปด้วยเรื่องราวที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมากมายจนคุณอาจจำไม่ได้ แต่นึกถึงมันอีกครั้งเมื่อสัมผัสกับโทรศัพท์เหล่านี้ครับ