Vivo เผย 5 เหตุผลที่การเชื่อมต่อ 5G จะดิสรัปอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไปตลอดกาล
Vivo แบรนด์สมาร์ตโฟนชั้นนำระดับโลก เป็นผู้นำในการพัฒนามาตรฐานเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ 5G มาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2016 และอัปเดตวิวัฒนาการเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมการสื่อสารอย่างใกล้ชิด โดยได้ทุ่มงบประมาณก่อตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี 5G (5G R&D center) ในกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน จนทำให้ Vivo กลายมาเป็นผู้เล่นคนสำคัญในตลาด 5G ของโลก และได้ส่งมอบสุดยอดนวัตกรรมสมาร์ตโฟนที่รองรับ 5G ออกมาให้ผู้ใช้งานได้สัมผัสมาแล้วหลากหลายรุ่นเมื่อปีที่ผ่านมา ล่าสุดได้ออกมาเผยถึง 5 เหตุผลสำคัญที่เทคโนโลยีการเชื่อมต่อ 5G จะเข้ามาดิสรัป (disrupt) ทุกอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่กำลังปรับตัวในปัจจุบัน
1. อนาคตโลกอนาคตไทยต้องใช้ 5G
‘เทคโนโลยีการเชื่อมต่อ 5G’ เป็นคำที่ได้ยินกันอย่างแพร่หลายในช่วงปีที่ผ่านมา แต่มาในปีนี้ คำว่า ‘5G’ จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงที่มากขึ้น ทั้งในด้านความพร้อมของผู้ให้บริการเครือข่าย และอุปกรณ์ที่รองรับสัญญาณ 5G โดยในงาน CES 2021 (Consumer Electronics Show) ที่ผ่านมาเผยว่า การที่จะทำให้เทคโนโลยี 5G ใช้งานได้จริงนั้น จะต้องอาศัยความร่วมมือ หรือ Partnership ระหว่างหลากหลายภาคส่วน ทั้งผู้ผลิตและพัฒนาอุปกรณ์ที่รองรับ ผู้ให้บริการเครือข่าย นักพัฒนาซอฟต์แวร์ ผู้ผลิตคอนเทนต์ รวมถึงนักลงทุน ซึ่งในปีนี้ ประเทศไทยได้เริ่มมีการวางโครงสร้างการให้บริการ 5G ที่มีความเป็นไปได้มากยิ่งขึ้น สามารถก้าวข้ามข้อจำกัดของเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายในปัจจุบัน และประยุกต์ใช้งาน 5G ในเชิงพาณิชย์ได้อย่างทั่วถึง เช่น สื่อบันเทิง ภาคการผลิตอุตสาหกรรม สาธารณสุข สาธารณูปโภค และการคมนาคมขนส่ง เป็นต้น
2. ‘ข้อได้เปรียบ’ ของเทคโนโลยี 5G
การเข้ามาของเทคโนโลยี 5G ในประเทศไทยนั้นเป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงให้เห็นว่าเรากำลังก้าวเข้าสู่โลกแห่งการเชื่อมต่อยุคใหม่อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมกับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นมากกว่ายุค 4G กับความแรงในการเชื่อมต่อที่เพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 100 เท่า ซึ่งในอนาคต เทคโนโลยี 5G จะมาพร้อมกับบริการที่คุณภาพสูงมากขึ้น แบรนด์วิธที่กว้างขึ้น และความหน่วงที่ต่ำลง พร้อมมอบประสบการณ์การเชื่อมต่อที่เหนือชั้น ทั้งสำหรับผู้บริโภค เช่น การรับชมวิดีโอสตรีมมิงความละเอียดสูงได้แบบไม่สะดุด เล่นเกม AR กับกราฟฟิกที่ลื่นไหลมากขึ้น และวิดีโอคอลคมชัดมากขึ้น รวมทั้งเทคโนโลยี 5G จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำธุรกิจและการให้บริการอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่น การเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างอุปกรณ์นับล้านชิ้น (IoT) และการนำเทคโนโลยี AI มาช่วยรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล Big Data เป็นต้น
3. เครือข่ายที่ครอบคลุมมากขึ้น
สำหรับในประเทศไทยทางภาครัฐและผู้ให้บริการเครือข่ายได้ผสานความร่วมมือให้บริการเครือข่ายสัญญาณ 5G ที่เพิ่มมากขึ้น ครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดทั่วไทย และกำลังเร่งขยายพื้นที่ให้บริการให้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น เตรียมมอบประสบการณ์การเชื่อมต่อให้ผู้ใช้งานได้รับประโยชน์สูงสุด ทั้ง ความเร็ว (Speed) ที่สามารถรับส่งข้อมูลได้ในระดับวินาที ความหน่วงต่ำ (Latency) ตอบสนองผู้ใช้งานได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น และเครือข่ายรองรับการเชื่อมต่อจำนวนมาก (Connectivity) ไม่ว่าจะเชื่อมต่อกี่อุปกรณ์ ก็ไม่มีผลต่อความเร็วในการรับส่งข้อมูลอีกต่อไป
4. สินค้า IoT ครองตลาดในทุกอุตสาหกรรม
สินค้า IoT หรือ Internet of Things เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเพิ่มศักยภาพการใช้ชีวิต โดยหัวใจสำคัญคือการเชื่อมต่อโลกทางกายภาพกับโลกดิจิทัลเข้าไว้ด้วยกัน ตอบโจทย์ความต้องการของทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคขนส่ง และสิ่งแวดล้อม ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ ซึ่งได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในหมู่ผู้บริโภคยุคดิจิทัลที่มองหาความสะดวกสบาย ปลอดภัย เชื่อมต่อได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกับตลาด IoT คือ เทคโนโลยี 5G ที่จะช่วยเชื่อมต่อผู้คนเข้ากับโลกดิจิทัลได้อย่างราบรื่น เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งาน
5. อุปกรณ์ที่รองรับ 5G เข้าถึงได้มากขึ้น
เมื่อช่วงปีที่ผ่านมา การเข้ามาของอุปกรณ์ที่รองรับ 5G อาจจะเป็นเรื่องของผู้บริโภคกลุ่มแรกๆ ที่เปิดรับนวัตกรรมและเทรนด์ใหม่ๆ (early adopter) โดย Vivo ฐานะผู้นำในการพัฒนาสมาร์ตโฟนที่รองรับการเชื่อมต่อ 5G ได้มอบประสบการณ์ 5G ให้ผู้ใช้งานชาวไทยได้ลองสัมผัสมาแล้วใน Vivo X50 Pro และ V20 Pro แต่มาในปีนี้ที่สมาร์ตโฟน 5G จะเป็นเรื่องของทุกคน เป็นเทคโนโลยีที่เข้าถึงและเป็นเจ้าของได้ง่ายมากขึ้น ในราคาที่คุ้มค่าแต่มาพร้อมกับประสิทธิภาพที่ทรงพลัง ซึ่ง Vivo พร้อมจะเดินหน้ามุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและแอปพลิเคชันที่รองรับ 5G พร้อมทำงานร่วมกันกับพันธมิตรในอุตสาหกรรมเพื่อส่งมอบศักยภาพของเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ 5G ให้ทรงประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อพร้อมรับมือกับเทรนด์ตลาด 5G ที่กำลังเติบโตในไทย รองรับความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยทุกคนก่อนใคร